กยท. เปิดรับคู่สัญญา โครงการยางพาราประชารัฐ ส่งเสริมจัดการสวนยางอย่างยั่งยืน นำร่อง ให้ความรู้การจัดการสวนยางมาตรฐาน FSC และ PEFC ให้ผู้นำเกษตรกรและพนักงาน กยท. กว่า 200 คน ครอบคลุมพื้นที่ภาคใต้ตอนบน 4 จังหวัด (ระนอง ประจวบคีรีขันธ์ สุราษฎร์ธานี ชุมพร) หวังเพิ่มมูลค่าไม้ยาง ขยายตลาดส่งออกสู่ระดับสากล
กยท.เปิดรับคู่สัญญา การจัดการสวนยางอย่างยั่งยืน ตามมาตรฐาน FSC™ และ PEFC ในระดับสากล ภายใต้โครงการยางพาราประชารัฐ ผลักดันการส่งออกไม้ยางพารา เพิ่มมูลค่า ขยายฐานตลาดการส่งออก เพิ่มรายได้แก่เกษตรกร โดยลงพื้นที่นำร่องอบรมการจัดการสวนยางภายใต้มาตรฐาน FSC™ และ PEFC ณ แก้วสมุย รีสอร์ท อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี หวังถ่ายทอดความรู้การจัดการดูแลสวนยางให้แก่ผู้นำเกษตรกรและพนักงาน กยท.กว่า 200 คน พร้อมย้ำ กยท. เตรียมผลักดันไม้ยางพาราไทย สู่มาตรฐาน FSC™ และ PEFC ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ
ดร.ธีธัช สุขสะอาด ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย เผยว่า ปัจจุบันทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญเรื่องการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการปลูกไม้เพื่อใช้สอย เพื่อเป็นอาชีพ ซึ่งจะเป็นการสร้างความมั่นคงในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ให้คงอยู่อย่างยั่งยืน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การส่งเสริมการปลูกยางพาราอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติ กยท. ได้ดำเนินการอบรม ให้ความรู้ในการปลูกยางพาราอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ แต่เพื่อให้ไม้ยางพาราเป็นไม้ที่ถูกต้องตามกฎหมาย เกษตรกรที่ทำการปลูก และโค่น สามารถขายได้มูลค่าสูงขึ้น จึงจำเป็นต้องเข้าสู่กระบวนการการรับรองโดยมาตรฐานที่ยอมรับกันทั่วโลกในระดับนานาชาติ โดยมาตรฐานดังกล่าว เรียกว่า FSC™ (Forest Stewardship Council™ ) และ PEFC (Programme for the Endorsement of Forest Certification) และเป็นโครงการนำร่องที่ กยท. จะ ออกใบรับรองไม้ยางพาราร่วมกับ TFCC (Thailand Forest Certification Council)
ล่าสุด กยท. ได้ลงพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี จัดอบรมถ่ายทอดองค์ความรู้การจัดการสวนยางที่ดีอย่างยั่งยืนตามมาตรฐาน FSC™ และ PEFC เพื่อให้ผู้ปลูกยางมีความรู้ความเข้าใจในการพัฒนาสวนยางของตนเองให้ได้มาตรฐาน โดยนำร่องพื้นที่ภาคใต้ตอนบน 4 จังหวัด ได้แก่ ระนอง ประจวบคีรีขันธ์ สุราษฎร์ธานี และ ชุมพร มีผู้นำเครือข่ายเกษตรกรชาวสวนยาง และพนักงาน กยท.เข้ารับการอบรมประมาณ 250 คน โดย กยท.ตั้งเป้า 3 เดือน พื้นที่ปลูกสร้างสวนยางใน จ.สุราษฎร์ธานี ต้องได้การรับรองจาก FSC™ และ PEFC ให้ได้เกือบ 100% ของพื้นที่ปลูกยางทั้งหมดในจังหวัด ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพของไม้ยางพารา และผลิตภัณฑ์จากไม้ยางพาราของไทย รวมถึงขยายตลาดการส่งออกให้แก่กลุ่มสหกรณ์ สถาบันเกษตรกร และเกษตรกรชาวสวนยางทั่วประเทศ ที่ผ่านมาเกษตรกรเมื่อโค่นสวนยางพารา 1 ไร่ จะขายไม้ยางพาราได้ไร่ละ 70,000 80,000 บาท แต่ปัจจุบันขายได้เพียงไร่ละ 20,000 30,000 บาท เท่านั้น เนื่องจากตลาดต่างประเทศที่รับซื้อไม้ยางพารามีมาตรฐานการรับซื้อที่สูงขึ้น ส่งผลให้ไทยส่งขายไม้ยางได้เพียงบางประเทศเท่านั้น ซึ่งการรับรองการจัดการสวนยางอย่างยั่งยืนตามมาตรฐาน FSC™ และ PEFC จะเป็นการขยายตลาดการส่งออกไม้ยางพาราไปยังประเทศที่ต้องการการรับรองคุณภาพในระดับสากล เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อเมริกา และประเทศในแถบยุโรป
ดร.ธีธัช สุขสะอาด ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า การยางฯ ได้ทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในโครงการยางพาราประชารัฐ กับบริษัท สยามฟอร์เรสแมเนจเม้นท์ จำกัด เป็นหนึ่งในบริษัทเอกชนที่ให้ความร่วมมือสนับสนุนเกษตรกรชาวสวนยางในการเพิ่มมูลค่าในการขายไม้ยาง และผลิตภัณฑ์จากไม้ยางทั้งในและต่างประเทศ พร้อมรับซื้อไม้ยางพาราที่เหลือใช้จากการผลิตเฟอร์นิเจอร์ เช่น กิ่ง แขนง ราก เศษขี้เลื่อย เป็นต้น เพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตแท่งเชื้อที่สะอาด อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งจะทำให้เกษตรกรชาวสวนยางได้รายได้เพิ่มจากการส่งขายไม้ยางพารา และวัสดุไม้อื่นๆ ทั้งหมดได้อีกทางหนึ่งด้วย สิ่งสำคัญ กยท. จะเข้ามาสนับสนุนส่งเสริมและถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่เกษตรกร ตั้งแต่การปลูก การกรีด และการโค่นยางพารา โดยให้ทุกกระบวนการอยู่ในขั้นตอนตามมาตรฐาน FSC™ และ PEFC นอกจากนี้ กยท.จะเร่งจัดอบรมพนักงานของ กยท. หลักสูตร Train the Trainer เพื่อให้พนักงาน กยท.ทั่วประเทศที่ดูแลและส่งเสริมสวนยาง สามารถตรวจรับรองในทุกขั้นตอนของการจัดการสวนยางในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ นอกจากจะเป็นการเพิ่มรายได้สู่เกษตรกรชาวสวนยางแล้ว ตัวแทนภาคเอกชนอื่นๆ ที่ดำเนินธุรกิจการแปรรูป หรือการนำไม้ยางพาราไปใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้น "การอบรมโครงการดังกล่าวใน จ.สุราษฎร์ฯ เป็นการนำร่องที่แรก และพร้อมจะขยายไปในทุกพื้นที่ปลูกยางทั่วประเทศ
ทีมข่าวประชาสัมพันธ์การยางฯ
|