นายพรเลิศ ก๋าวินจันทร์ ประธานกลุ่มสหกรณ์กองทุนสวนยางเวียงฝาง จำกัด กล่าวว่า สหกรณ์กองทุนสวนยางเวียงฝาง เริ่มมีการรวมตัวกันเมื่อปี พ.ศ.2556 จากกิจกรรมที่รัฐบาลได้มีโครงการการประกันราคายางแผ่นที่กิโลกรัม 100 บาท ทำให้เกษตรกรผู้ประกอบอาชีพการทำสวนยางหันมารวมตัวกัน และจัดตั้งเป็นสหกรณ์กองทุนสวนยางเวียงฝางตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันซึ่งมีสมาชิกรวมกันประมาณ 80 คน โดยตลอดระยะเวลาบริหารกิจการ มีการรับซื้อยางแผ่นดิบ ยางก้อนถ้วย และน้ำยางสด ทั้งนี้ ล่าสุด ทางสหกรณ์ได้หันมาดำเนินการธุรกิจแปรรูปน้ำยางข้นเป็นหลัก โดยรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรชาวสวนยางสมาชิกในรูปแบบของ น้ำยางสด เพราะแนวคิดในการบริหารจัดการสหกรณ์ มองว่า ทำอย่างไรให้หาวิธีในการแปรรูปที่ง่ายที่สุด และที่สำคัญตลาดก็มีความต้องการผลผลิตนั้น ซึ่งการลองผิดลองถูกในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ทำให้เห็นว่า ยางน้ำจะ แปรรูปง่ายกว่ายางแห้ง และที่สำคัญตลาดในพื้นที่มีความต้องการเช่นกัน เพราะมีโรงงานยางเครปของเอกชนและโรงงานเอกชนที่แปรรูปผลิตภัณฑ์ยาง เช่น ถุงมือ หมอนยางพารา เป็นต้น มาตั้งในพื้นที่ นับว่าเป็นความได้เปรียบของสถาบันที่จะเพิ่มมูลค่ายางพาราด้วยการแปรรูปเป็นน้ำยางข้น
นายพรเลิศ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ สหกรณ์รับซื้อน้ำยางสดใส่แอมโมเนียในปริมาณที่สหกรณ์กำหนดไว้ อาทิตย์ละประมาณ 30 ลิตร เฉลี่ย 1 เดือนจะรับซื้อน้ำยางสดจากสมาชิกประมาณ 15 ตัน นำไปแปรรูปเป็น น้ำยางข้น ได้ประมาณ 5 ตันต่อเดือนเพื่อส่งขายให้กับโรงงานผลิตถุงมือยางที่ใช้ในกิจกรรมทางการเกษตรในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย ตลอดจนการนำไปขายให้กับโรงงานผลิตหมอนยางพาราของบริษัทเอกชนในพื้นที่ทางภาคเหนือ อย่างไรก็ตาม แม้ปริมาณผลผลิตไม่มากนัก แต่ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ทำให้เกษตรกรในพื้นที่ภาคเหนือมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น ณ วันนี้ สภาพแวดล้อมอาจส่งผลกระทบต่อกิจการของสหกรณ์ฯ บ้างแต่ไม่มากนัก เนื่องจากความต้องการใช้และปริมาณผลผลิตยังสามารถบริหารจัดการได้อย่างสมดุล แต่เกษตรกรชาวสวนยางสมาชิกส่วนใหญ่ในพื้นที่เชียงใหม่ จะมีอาชีพอื่นๆ ที่เป็นอาชีพหลัก ส่วนการปลูกยางพาราจะเป็นอาชีพเสริม ฉะนั้น ส่วนมากจะไม่อยากทำน้ำยางสดขาย เพราะค่อนข้างเหนื่อย จะนิยมขายยางก้อนถ้วย ขณะเดียวกัน ในด้านสหกรณ์เอง กำลังเผชิญกับเงินทุนในการเก็บน้ำยางสด ที่จะต้องใช้ระยะเวลาหมักหรือบ่มให้เป็นน้ำยางข้นที่ได้มาตรฐานของโรงงาน ทำให้เงินทุนหมุนเวียนถูกแช่แข็งประมาณ 1-2 เดือน ก็นับว่าเป็นเรื่องใหม่และท้าทายของชาวสวนยางในพื้นที่ภาคเหนือ อาจจะเห็นได้ว่า มีตลาด และภาครัฐมีนโยบายในการส่งเสริมใช้ยางในประเทศเพิ่มมากยิ่งขึ้น เป็นโอกาสที่จะให้สหกรณ์ฯ เติบโตได้อย่างเข้มแข็ง และรวดเร็ว จะต้องปรับตัวให้ทันตามสถานการณ์ด้วยเช่นกัน
ทีมข่าวประชาสัมพันธ์ กยท.